การเรียกร้องจากบริษัทกันรถยนต์ ที่เพื่อนๆอาจไม่เคยทราบ
การเรียกร้องจากบริษัทประกันรถยนต์ ที่เพื่อนๆอาจไม่เคยทราบ
ไม่ว่าเพื่อนๆจะขับรถอะไรในชีวิตประจำวัน การซื้อความเสี่ยงที่เราต้องออกไปเจอบนท้องถนนที่ต้องใช้งานร่วมกับคนเป็นพันๆ อย่างการทำ“ประกันภัยรถยนต์” นั้นอาจเป็นทางเลือกที่ทำให้เราสบายใจในการใช้รถใช้ถนนร่วมกันมากที่สุด แต่หลายคนยังคิดว่าสิ่งนี้ยังเป็น ค่าใช้จ่ายที่อาจสูญเปล่า
เพียงแค่เราขับรถแบบมีความระมัดระวังคงยากจะเกิดอุบัติเหตุได้ แต่ในความเป็นจริง อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอในสถานการณ์ต่างๆ อาจไม่ใช่เกิดเพราะความประมาทของตัวเอง แต่เพราะสภาพรถ สภาพเส้นทาง สภาพอากาศ อีกทั้งผู้ขับรถคันอื่นล้วนมีผลต่อการทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ทั้งนั้น
รถยนต์ในปัจจุบันนี้มีเทคโนโลยีที่สูง เพราะฉะนั้นสิ่งที่สูงตามมาก็คือ ราคาชิ้นส่วนอุปกรณ์ของรถนั้นเอง ซึ่งพอเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาแต่ละทีไม่ว่าจะเล็กหรือจะใหญ่ แน่นอนว่า ค่าใช้จ่ายในแต่ละกรณีนั้นสูงกว่าสมัยก่อนเยอะ ทางที่ดีนั้น ควรมีการทำประกันภัยรถยนต์ไว้ เพราะ พรบ.บุคคลที่สามอันเป็นประกันภัยภาคบังคับตามกฎหมายแต่ไม่ได้ครอบคลุมเรื่องของการซ่อมรถ ซึ่งในการทำประกันภัยรถยนต์ก็สามารถ “เลือกได้” ว่าจะใช้ประกันภัยประเภทไหน ค่าใช้จ่ายต่อปีตลอดจนความครอบคลุมมีให้เลือกเป็นตัวกำหนดความต้องการอยู่แล้ว
แต่ในการทำประกันนั้น โดยมากแล้วทางบริษัทผู้รับประกันภัยมีข้อมูล “บางอย่าง” ที่แจ้งกับผู้ซื้อประกันไม่หมด หรือเราเองไม่สอบถามให้ได้รับความกระจ่าย “ในบางเรื่อง” ส่วนใหญ่ยามที่เกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนกัน แต่ละฝ่ายมักจะเรียกพนักงานประกันภัยมาเคลียร์เรื่องหรือให้จัดการแทนเรา จากนั้นก็แยกย้ายเอารถไปซ่อมในกำหนดเวลาที่เขาระบุไว้ อันนี้ไม่ใช่ประเด็นที่จะพูดถึงนั้นมันมีความเกี่ยวเนื่องด้านผลประโยชน์ที่ควรได้และน่าจะได้ เพราะระหว่างที่รถเข้าไปสิงสถิตอยู่ในอู่นั้น เรายังคงจำเป็นต้องเดินทางเพื่อประกอบธุรกิจอาชีพ ไปทำงาน หรืออื่นๆ ซึ่งเดิมทีใช้รถส่วนตัว แต่หลังจากเกิดเหตุนั้นย่อมจะต้องพึ่งพารถสาธารณะซึ่งอาจเป็นความลำบากกว่าที่เคยเป็น โดยทั่วไปมักจะซ่อมแล้วจบๆ กันไป เรื่องที่ว่านั้นคือ “สินไหมค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถระหว่างซ่อม” ซึ่งมักจะถูกละเมิดหรือหลายคนไม่เคยเรียกร้องเอาจากการถูกคู่กรณีชน ทั้งนี้ ผู้ที่สามารถหรือมีสิทธิ์ในการเรียกร้องได้ต้องเป็น “ฝ่ายถูก” เท่านั้น ส่วนจะเรียกกับใคร เรียกอย่างไร ได้แค่ไหน เดี๋ยวมาไล่เรียงเป็นลำดับขั้นตอนให้ดูกันต่อ…
อันดับแรก หลังจากเกิดเหตุเฉี่ยวชนเรียกประกันมาเคลียร์แล้ว ให้หาหลักฐานโดยการถ่ายเอกสาร หรือคิดว่าคนขับส่วนใหญ่ต้องมีการโทรศัพท์สมาร์ทโฟน มือถือที่สามารถถ่ายรูปได้ ใช้มือถือถ่ายรูปหัวกระดาษของ “ใบเคลมที่ประกันของฝ่ายคู่กรณีออกให้” ว่าเป็นประกันภัยบริษัทอะไร พร้อมที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ จากนั้น เอาใบเคลมของประกันภัย “ฝ่ายเรา” ไปเข้าซ่อมรถในศูนย์หรืออู่ในเครือโดยต้อง “ถ่ายเอกสาร” ชุดของเราเอาไว้ด้วยเช่นกัน เมื่อรถซ่อมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขอสำเนาเอกสารรายการซ่อมรถทั้งหมดรวมถึงใบรับรถ-ส่งรถที่ระบุวันที่ชัดเจนเก็บรวบรวมเอาไว้
หลังจากนั้นก็เป็นขั้นตอน “การเรียกสินไหม” กันแล้วล่ะซึ่งความจริงแล้วเรื่องนี้ควรจะร้องขอไปยังคู่กรณีที่มาชน แต่แทบทุกรายล้วนปฏิเสธการจ่าย จึงเป็นแนวทางที่ต้องรับไปยังบริษัทประกันของฝ่ายคู่กรณีให้เป็นผู้มารับผิดชอบ “ค่าเสียหายต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก” ซึ่งก็คือฝ่ายเราแทนซึ่งบริษัทประกันก็จะมีการประเมินค่าใช้จ่าย เป็นต้นว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นควรจะใช้เวลาซ่อมประมาณกี่วัน, ควรจ่ายได้เท่าไหร่.. เอาประมาณนี้ การยื่นเรื่องเรียกร้องนั้นว่ากันเป็นฉากๆ ไล่เรียงไปเพื่อความเข้าใจง่ายๆ ตามลำดับ โดย…
เริ่มด้วยการติดต่อโทรศัพท์หาบริษัทประกันภัยของฝ่ายคู่กรณี แจ้งความจำนงว่าจะ “ยื่นเรียกสินไหมค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถระหว่างซ่อม” ซึ่งเขาจะให้หมายเลขติดต่อของฝ่ายเคลมมาให้เราพร้อมเบอร์ Fax เพื่อจัดส่งเอกสาร ซึ่งเอกสารที่ต้องส่งไปให้มี –หนังสือคำร้อง – สำเนาใบเคลม หรือรายละเอียดการซ่อมและเอกสารที่ระบุวันรับและวันส่งคืนรถของเราตามที่บอกไปในตอนต้น – สำเนาบัตรประชาชน – สำเนาหน้ากรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ของเรา – สำเนารายการจดทะเบียนรถ – แผนที่การเดินทางเพื่อประกอบธุรกิจ อาชีพประจำวัน – สำเนาหน้าสมุดธนาคาร (ใช้ในกรณีที่ต้องการให้โอนเงินเข้บัญชี แต่ข้อนี้มีหลายคนตกลงให้ทางบริษัทประกันสั่งจ่ายเป็นเช็คเพราะไม่ต้องการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว)
หลังจากที่ได้ส่งเอกสารไปแล้วก็รอเป็นเวลา 2 วันทำการ จึงติดต่อกลับไปถามความคืบหน้าสอบถามชื่อผู้รับเรื่อง หมายเลขการเคลม จดบันทึกเอาไว้เพื่อความสะดวกในการติดต่อภายหลังอีกครั้ง
ช่วงเวลาต่อไปเป็นการรอการอนุมัติซึ่งเจ้าหน้าที่บริษัทประกันจะโทรศัพท์ติดต่อกลับมาแจ้งจำนวนเงินที่จะได้ อย่าเพิ่งตัดสินใจตอบตกลงเพราะส่วนใหญ่แทบทุกบริษัทจะตีค่าให้เราประมาณครึ่งหนึ่งของที่เรียกไป ในส่วนนี้สามารถต่อรองกันได้ ถ้าน้อยเกินไปจนเห็นว่าไม่เป็นธรรมและคุยกันไม่ได้แล้วต้องร้องไปทาง คปภ.(สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย) ซึ่งต้องดำเนินการเองและเสียเวลายุ่งยากอีกต่างหาก บริษัทประกันจะรู้ดีว่าคนส่วนใหญ่ “ขี้เกียจเดินเรื่อง” จึงมักจะจบที่ราคาขั้นต้นเพียง 500 บาทต่อวันเท่านั้น
เมื่อตกลงกันได้จะมีเอกสารส่งมาให้เซ็นชื่อแล้วส่งกลับ จากนั้นก็ใช้เวลาอีกประมาณ 1 อาทิตย์ เพื่อให้ทางบริษัทออกเช็ค จะไปรับเองหรือให้ส่งทางไปรษณีย์ก็ได้ หรือโอนเงินเข้าบัญชีก็แล้วแต่สะดวก
นี่เป็นเพียงตัวอย่างเพื่อการเรียกร้องสิทธิที่พึงมีพึงได้เมื่อเราทำประกันภัยรถยนต์ไว้แล้ว และอยู่ในลักษณะที่เรา “เป็นฝ่ายถูก” เกิดเหตุจริง มีการซ่อมแซมจริง เสียเวลาและค่าใช้จ่ายจริง.. ส่วนการเรียกร้องว่าควรจะได้เงินเท่าไหร่นั้นก็ว่ากันเป็นกรณีไป ไม่ใช่ว่าจะได้มาเต็มเม็ดเต็มหน่วยอย่างที่เราคิดเอง เอาเป็นว่าได้มาบ้างยังดีกว่าสูญเปล่า เพราะไม่รู้ว่ามีสิทธินี้อยู่ ลองเก็บเอาไว้เป็นข้อมูลดูครับ เผื่อจะมีประโยชน์ในภายหน้า.. แต่จะให้ดี อย่าได้มีโอกาสใช้มัน นั่นคือ อย่าเกิดอุบัติเหตุเลยจะดีที่สุด!!!
หากคุณกำลังมองหา ประกันภัยรถยนต์ ราคาสบายกระเป๋า ตรวจสอบราคาได้ที่ Promotion Carzeek
ติดตามความเคลื่อนไหวของ Carzeek ได้ที่ Facebook Carzeek
ส่วนใครที่กำลังมองหารถอยู่แต่ยังคิดไม่ออกว่าจะเอาคันไหนดี หรือมองหาประกันรถยนต์ และสินเชื่อ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.CarZeek.com ได้แล้ว
Carzeek Mobile Application ที่นี้